5. การที่มีการชุมนุมบุคคลในกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง เป็นการอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญสอดคล้องกับมาตรา
มาตรา 9 โดยมีสาระสำคัญเป็นการนิรโทษกรรมทั้งทางแพ่ง อาญา ให้กับประชาชนชุมนุมทางการเมืองสองช่วงเวลา คือ การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่ประชาธิไตย และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อให้เกิดสามัคคี เพราะตอนความแตกแยกทางการเมืองยังมีอยู่ และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นจนประเทศอาจเกิดควาเสียหาย จึงต้องให้โอกาสคนเหล่านี้
รัฐธรรมนูญมาตรา 28 วรรคแรก ได้วางหลักในการอ้างสิทธิว่า “บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน” รัฐธรรมนูญเป็นสัญญาประชาคมที่ประชาชนตกลงว่าให้เป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐเพื่อให้สังคมสงบสุข มีระเบียบแบบแผนในการปกครองประเทศ ตลอดจนคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในรัฐ การอ้างสิทธิเสรีภาพใดๆที่ได้รับการรับรองไว้จึงต้องไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญนั้นเอง หากการอ้างสิทธิ์นั้นเป็นปฏิปักษ์กับรัฐธรรมนูญก็เท่ากับว่าเป็นการขัดแย้งกับเจตจำนงของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ ประการที่สองการชุมนุมจะต้องเป็นการใช้เสรีภาพตามกรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ รัฐธรรมนูญได้กำหนดเสรีภาพในการชุมนุมไว้ในมาตรา 63 “มาตรา 63 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือ ในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก” จะสังเกตได้ว่าขอบเขตของเสรีภาพตามมาตรานี้คือ “โดยสงบและปราศจากอาวุธ” การที่รัฐธรรมนูญกำหนดขอบเขตไว้ก็เนื่องจากหากปล่อยให้มีการใช้เสรีภาพอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างไม่มีขอบเขต การใช้เสรีภาพนั้นอาจก้าวล่วงไปกระทบต่อเสรีภาพอย่างอื่นได้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 63 จึงได้กำหนดขอบเขตไว้สองประการข้างต้น คำว่า “โดยสงบ” หมายความว่า จะต้องดำรงความสงบของประชาชนทั่วไปและไม่ไปรบกวนสิทธิของผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน ประการนี้รวบไปถึงเรื่องเจตนาของผู้เข้าร่วมการชุมนุมด้วยว่าประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นหรือไม่ ตัวอย่างเช่น มีการปรารัยให้เกิดความเครียดแค้น ปลุกระดมปลุกเร้าอารมณ์ให้เกิดความรุนแรง เช่นนี้เป็นการเล็งเห็นผลได้ว่าก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้น ส่วนคำว่า “ปราศจากอาวุธ” หมายความรวมถึงสิ่งที่ไม่เป็นอาวุธโดยสภาพด้วย แต่กรณีนี้จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของผู้ที่จะใช้สิ่งของนั้นๆด้วยว่ามีเจตนานำมาใช้ประทุษร้ายเยี่ยงอาวุธหรือไม่(3) ตัวอย่างเช่น ด้ามธง ป้ายประท้วง มือตบ ตีนตบ นั้นตามปรกติไม่เป็นอาวุธโดยสภาพย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย แต่หากนำมาทุบตีกันก็จะถือว่าเป็นอาวุธ เป็นต้น ส่วนไม้กอล์ฟ ด้ามธงที่มีเหล็กปลายแหลม หน้าไม้ หนังสติกส์ ไม้คมแฝก ปืนไทยประดิษฐ์ มีดดาบ สิ่งเหล่านี้จัดว่าเป็นอาวุธโดยสภาพทั้งสิ้น หากมีไว้ใช้ในการชุมนุมใดๆ แม้ว่าจะอ้างว่ามีไว้เพื่อป้องกันตัว ก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง ประการที่สามการชุมนุมจะต้องคำนึงถึงหน้าที่ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยสิทธิเสรีภาพต่างๆจะได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉันใดในทางกลับกันประชาชนก็จะมี“หน้าที่” ต่อรัฐฉันนั้น เมื่อพิจารณาถึงหน้าที่ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญปัจจุบันจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญกำหนดหน้าที่ของพลเมืองไว้ในหมวด 4 เพียง 5 มาตรา (มาตรา 70-74) และหากพิจารณาหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญกับเสรีภาพในการชุมนุมแล้วจะพบมาตราที่เกี่ยวข้องโดยตรงอยู่ 2 มาตรา คือ มาตรา 71 และ มาตรา 74 “มาตรา 71 บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ของชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย มาตรา 74 บุคคลผู้เป็นข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวมอำนวยความสะดวก และให้บริการแก่ประชาชนตามหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ในการปฏิบัติหน้าที่และในการปฏิบัติการอื่นที่เกี่ยวข้องกับประชาชน บุคคลตามวรรคหนึ่งต้องวางตนเป็นกลางทางการเมือง ในกรณีที่บุคคลตามวรรคหนึ่งละเลยหรือไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามหน้าที่ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง บุคคลผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีสิทธิขอให้บุคคลตามวรรคหนึ่ง หรือผู้บังคับบัญชาของบุคคลดังกล่าว ชี้แจง แสดงเหตุผล และขอให้ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติในวรรคหนึ่งหรือวรรคสองได้” หน้าที่ตามสองมาตราข้างต้นแสดงให้เห็นว่าผู้ชุมนุมจะต้องเคารพกฎหมายและหากผู้ชุมนุมเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติการอื่นที่เกี่ยวข้องกับประชาชนเจ้าหน้าที่นั้นต้องวางตนเป็นกลางทางการเมือง ดังนั้นเมื่อใดที่ผู้ชุมนุมจะอ้างเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเมื่อนั้นผู้ชุมนุมก็ควรคำนึงถึงหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญไปพร้อมๆ กัน แม้ว่าขณะนี้ในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติกำหนดหลักเกณฑ์ในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 กระนั้นผู้ชุมนุมจะต้องเคารพกฎหมายที่มีอยู่แล้ว เช่น 1. พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 2. ประมวลกฎหมายอาญา 3. พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 4. พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 กรณีการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมเช่นประเทศไทยสามารถเทียบเคียงได้จากการใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าวในประเทศสหรัฐอเมริกาเนื่องจาก ทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยต่างก็ไม่มีกฎหมายเฉพาะกำหนดขั้นตอนและวิธีการในการชุมนุมหรือเดินขบวนไว้ แต่ในทางปฏิบัติก่อนที่จะมีการชุมนุมหรือเดินขบวนในประเทศสหรัฐอเมริการ ผู้จัดการชุมนุมหรือเดินขบวนก็จะบอกกล่าวแก่สถานีตำรวจท้องที่เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัยแก่การชุมนุม(4) หากการชุมนุมหรือเดินขบวนนำมาซึ่งความไม่สงบเรียบร้อยหรือความวุ่นวายในบ้านเมือง ประเทศสหรัฐอเมริกาได้กำหนดความผิดอาญาฐานก่อการจลาจลไว้เพื่อเป็นการลงโทษ และหากมีความเสียหายเกิดขึ้นก็ยังสามารถดำเนินคดีในทางแพ่งได้อีกด้วย สำหรับในประเทศไทยแม้ว่าจะไม่มีความผิดอาญาฐานก่อการจลาจลแต่เจ้าหน้าที่สามารถนำกฎหมายที่มีอยู่แล้วมาบังคับกับกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยได้ อนึ่งหากพิจารณาจากหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการชุมนุมของประเทศอื่นๆ เช่น Public Order Act, 1986 ของอังกฤษ décrét loi 23-10-1935 ของฝรั่งเศส Public Assembly Act, 1985 ของฟิลิปปินส์ Peaceful Assembly Act, 1992 ของรัฐ Queensland ประเทศออสเตรเลีย Public Assembly Act, 1997 ของเอสโทเนีย จะพบว่ามีหลักกฎหมายทั่วไปเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะดังนี้(5) -ประชาชนมีสิทธิจัดให้มีและเข้าร่วมการชุมนุมสาธารณะ -ต้องเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ -ต้องไม่มีวัตถุประสงค์ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย -ผู้จัดให้มีการชุมนุมต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ (ตำรวจหรือท้องถิ่น) ทราบล่วงหน้าก่อน 3-7 วัน เพื่อประโยชน์ในการวางแผนและดำเนินการอำนวยความสะดวกให้แก่ทั้งผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไป -ผู้ชุมนุมต้องไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือล่วงละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น -เจ้าหน้าที่สามารถกำหนดเงื่อนไขในการชุมนุมได้หากเชื่อได้ว่าการชุมนุมนั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือความไม่สงบเรียบร้อย -เจ้าหน้าที่มีอำนาจห้ามหรือจำกัดการชุมนุมที่เป็นการบุกรุกทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิทยาศาสตร์และสถาปัตยกรรม จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่าการใช้เสรีภาพในการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตยนั้น ไม่ใช่เพียงแต่จะยกรัฐธรรมนูญขึ้นอ้างเท่านั้น การใช้สิทธิดังกล่าวจำต้องคำนึงถึงบริบทแวดล้อมอื่นๆอีกด้วย หากวิธีการที่ผู้ชุมนุมใช้ไม่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตยน้ำหนักของข้อเรียกร้องตลอดจนความชอบธรรมในการชุมนุมก็จะน้อยลงไป จะสังเกตได้ว่าที่ผ่านมามีการใช้สิทธิในการชุมนุมกันอย่างมากแต่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่มิได้คำนึงถึงหน้าที่ซึ่งเป็นส่วนเกี่ยวเนื่องกัน การใช้สิทธิเกินส่วนนี้กลับกลายเป็นกระบวนการทำลายประชาธิปไตย ซ้ำยังเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่ยังแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและเศรษฐกิจของประเทศ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะร่วมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคมไทยมิใช่เพียงแต่ใส่เสื้อประชาธิปไตยแต่หัวใจเป็นอื่น ฉะนั้นก่อนที่จะชี้นิ้วกล่าวหาคนอื่นว่าไม่เป็นประชาธิปไตยก็ควรจะสำรวจตนเองก่อนว่ากริยาที่ปฏิบัติอยู่นั้นเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ มิเช่นนั้นก็คงเข้าทำนองสำนวนไทยที่ว่า “มือถือสาก ปากถือศีล”
ชื่อนูสีลา เจ๊ะโด เลขที่ 15 ห้อง ส.50
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น