วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ศาลพิพากษาประหารชีวิตนายทหารพันเอก-จำคุกตลอดชีวิตพันโท ร่วมกันผลิตยาบ้าใช้รถทางราชการขนยาเสพติด

ศาลพิพากษาประหารชีวิต พ.อ.พิสิษฐ์ หรือกฤตนัย หรือภัทระ หรือธีรวุฒิ อมรวิสัยสรเดช หรือเสธ.เอ้ และ พ.ท.สุรยุต สังข์เทพ หรือเสธ.หยวก นายทหารสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย จำเลยที่ 1 – 2 ในความผิดฐาน สมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 16 ธันวาคม ที่ห้องพิจารณาคดี 806 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลพิพากษาประหารชีวิต พ.อ.พิสิษฐ์ หรือกฤตนัย หรือภัทระ หรือธีรวุฒิ อมรวิสัยสรเดช หรือเสธ.เอ้ และ พ.ท.สุรยุต สังข์เทพ หรือเสธ.หยวก นายทหารสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย จำเลยที่ 1 – 2 ในความผิดฐาน สมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตาม พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรค 2 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แต่คำให้การของจำเลยที่ 2 มีประโยชน์บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต

คดีนี้พนักงานอัยการฝายคดียาเสพติด 3 เป็นโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อประมาณปี 2540 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองกับนายประเสริฐ สินบัณฑิต กับพวกรวม 3 คน ที่ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต และพวกที่ยังหลบหนี ได้สมคบกันมีเมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้าชนิดผงน้ำหนัก 23,784 กรัม ประมาณ 23.7 กก.เศษ ราคาประมาณ 40 ล้านบาท พร้อมอุปกรณ์การผลิตยาบ้า รวม 116 รายการ กระทั่งวันที่ 8 พฤศจิกายน 2540 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายประเสริฐ กับพวกได้ พร้อมกับยาบ้าและของกลางจำนวนมาก ได้ที่บ้านเลขที่ 316 ต.ท่ากระดาน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดี ต่อมาจำเลยทั้งสองได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน บช.ปส. และให้การปฏิเสธโดยตลอด
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้ง 2 ฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า โจทก์มีนายเศรษฐ์นันท์ สิริจิระสุข หรือ เกาไช่หลุน จำเลยคดีค้ายาเสพติดที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต เบิกความยืนยันว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับตนผลิตยาเสพติด ที่หมู่บ้านกฤษดานคร 19 และ ที่อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทราที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดยาบ้า พร้อมอุปกรณ์จำนวนมาก โดยจำเลยที่ 2 มีหน้าที่หาน้ำยาเคมี ส่วนจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของทางราชการมาขนย้ายเสพติด นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังเคยให้ความช่วยเหลือนายเศรษฐนันท์ คดียาบ้า ที่ จ.ชลบุรี โดยให้ บิดาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่เป็นคนเจรจาต่อรองกับนายตำรวจ จนสามารถช่วยเหลือได้ อีกทั้งโจทก์ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. เบิกความถึงการสอบสวน และความสัมพันธ์ของนายเศรษฐนันท์ กับจำเลยทั้งสอง โดยเชื่อมโยงสอดคล้องกัน และผู้ใต้บังคับบัญชาของ จำเลยที่ 1 เบิกความถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ในการค้ายาเสพติด
เห็นว่าแม้พยานปากนายเศรษฐนันท์ จะให้การซัดทอดแต่ไม่ได้ทำให้ตนต้องพ้นผิด และถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ซึ่งพยานระบุเนื้อหาสาระสำคัญของคดีที่ยากจะปรุงแต่งให้จำเลยทั้งสองต้องรับโทษ จึงรับฟังพยานปากนี้ได้ นอกจากนื้โจทก์ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 เบิกความ ซึ่งจำเลยที่ 1 สามารถให้คุณให้โทษได้ แต่พยานก็เลือกที่จะเบิกความไปตามจริง ทั้งพยานโจทก์ยังมีแม่บ้านหมู่บ้านกฤษดานคร 19 เบิกความสนับสนุนว่า ได้เข้าไปทำความสะอาดบ้านเช่าที่จำเลยทั้งสองเช่าไว้ พบ ว่ามีการใช้กระดาษ และผ้าม่านปิดช่องกระจก หน้าต่าง ประตูอย่างมิดชิด และพบคราบยาเสพติดสีส้มสีขาว จำนวนมากหลายแห่ง
เมื่อพิจารณาพยานโจทก์ทั้งหมด รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยทั้งสองกับนายเศรษฐนันท์ แล้ว เชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์กับนายเศรษฐนันท์ มานาน แม้โจทก์จะไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยทั้งสองครอบครองยาเสพติดดังกล่าวก็ตาม แต่จากพยานแวดล้อมก็เพียงพอได้ว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันค้ายาเสพติดตามที่โจทก์ฟ้อง ข้อต่อสู้ของจำเลยไม่มีน้ำหนักที่จะมาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ เห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาลงโทษดังกล่าว

ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว พ.อ.พิสิษฐ์ จำเลยที่ 1 ถึงกับส่ายศรีษะกับทนายความ โดยที่จำเลยทั้ง 2 เตรียมยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป ขณะที่ บิดาของ พ.อ.พิสิษฐ์ ได้นำหลักทรัพย์จำนวน 3 ล้านบาท มาเพื่อเป็นหลักทรัพย์ยื่นของประกันตัว ชั้นอุทธรณ์

วิเคราะห์ข่าว

จากกรณีการที่ศาลพิพากษาการประหารชีวิตนายทหารพันเอก-จำคุกตลอดชีวิตพันโท ร่วมกันผลิตยาบ้าใช้รถทางราชการขนยาเสพติด ซึ่งนายทหารสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย จำเลยที่ 1 – 2 ได้กระทำความผิดฐาน สมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตาม พ.ร.บ. มาตรการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรค 2 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
การกระทำความผิดของนักโทษทั้ง 2 คนนี้ ร่วมกันผลิตยาเสพติด และมิหนำซ้ำยังใช้รถของทางราชการมาใช้ในการขนส่งยาบ้าโดยใช้อำนาจหน้าที่ของตนมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ถึงแม้ว่าจะล่วงเลยมานานแล้ว แต่จำเลยทั้ง 2 ได้กระทำความผิดซึ่งถือว่าร้ายแรงมาก เพราะทั้ง 2 คน มียศตำรวจที่สูงไม่น่าจะกระทำที่ส่งผลกระทบต่อยาวชน หรือ คนไทยทั้งประเทศ และเป็นการเหยียดหยามอาชีพการเป็นตำรวจ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีหน้าที่ปกป้อง รักษาความสงบของบ้านเมือง อย่างไรก็ตามคดีนี้ ก็ได้มีการสรุปสำนวน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 บวกกับคำให้การของทั้ง 2 คนที่ยอมรับ และสารภาพความผิด ให้การที่มีประโยชน์ต่อทางราชการ ทำให้ง่ายต่อการสืบสวนคดี และ เบาะแสในการสืบสาวเรื่องราวความผิด แต่ก็ไม่สามารถจับกุมพวกที่เหลืออยู่ได้ และ ไม่สารถหักล้างคดีของทั้ง 2 คนได้ ถึงแม้ว่าจะต่อสู้คดีมาเนิ่นนานแต่หลักฐานที่ใช้ในการสู้คดีไม่เพียงพอ
ในกรณีนี้นักโทษทั้ง 2 คนมีโทษจะคุกตลอดชีวิต ฐานกระทำความผิดสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตาม พ.ร.บ. มาตรการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรค 2 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่งเห็นสมควรแล้ว ที่จะโดนรับโทษที่ร้ายแรงขั้นจำคุกตลอดชีวิต เพราะถือว่าเป็นภัยต่อบ้านเมือง และเป็นมาตรการที่ส่งเสริมและต่อต้านผู้กระทำความผิดเช่นนี้ให้เห็นอย่างชัดเจน


ชื่อนูสีลา เจ๊ะโด เลขที่ 15 ห้อง ส.50

วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เวลา 14:58:31 น. มติชนออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น