วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การชุมนุมโดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ

สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในขณะนี้ ทุกคนคงทราบกันดีว่า หาความสงบยังไม่ได้ ความแตกแยกในหมู่คนไทยรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฎในประวัติศาสตร์ การชุมนุมประท้วงในเรื่องต่างของประชาชนยังมีอย่างต่อเนื่อง ที่เห็นชัดเจนคือ กรณีของกลุ่มการเมือง 2 กลุ่มคือกลุ่มฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พธม. ฝ่ายเสื้อเหลือง สีประจำวันพระราชสมภพของรัชกาลที่ 9 และ กลุ่มของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( หรือ นปช. หรือฝ่ายเสื้อเเดง บ้างก็ว่าคือสีวันเกิดของพตท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ บ้างก็ว่า คือสีแดงที่หมายถึงชาติ ) นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มประท้วงต่อต้านนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด การชุมนุมประท้วงของพนักงานการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การชุมนุมต่อต้านการจัดงานบุหรี่โลก การชุมนุมแก้ไขปัญหาผลผลิตตกต่ำของเกษตรกร และอีกมากมาย การชุมนุมเหล่าแต่ละครั้ง ผู้ชุมนุมมักอ้างสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ นั้นคือมาตรา 63 ที่ให้อำนาจในการชุมนุม ซึ่งบัญญัติไว้ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธโดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จเอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับและไม่จ้างวานกลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม" จะเห็นได้ว่า กฎหมายมาตรานี้ให้สิทธิเสรีภาพอย่างมากมายในการชุมนุม การห้ามชุมนุมโดยไม่มีอาวุธ ห้ามสร้างข้อมูลเท็จเพื่อปลุกระดม ห้ามจ้างวานคนมาชุมนุม ตามที่ระบุในมาตรานี้นั้นล้วนเป็นเรื่องที่ยากจะตรวจสอบ ดังนั้นการชุมนุมของแต่ละกลุ่มจึงเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย
และการชุมนุมที่เกิดขึ้นแม้จะมีกฎหมายมารองรับให้กระทำได้ แต่การชุมนุมที่มีคนหมู่มากแต่ละครั้ง ย่อมก่อให้เกิดปัญหากับสังคมโดยรวมส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาพลักษณ์ที่ไม่มี เรื่องของเสียงดังอื้ออึง และที่สำคัญคือการคมนาคมและการจราจร ปัญหาเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นตามมาในการชุมนุมแต่ละครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จึงเกิดคำถามว่า สิทธิการชุมนุมของบุคคลตามมาตรา 63 นั้น เป็นสิทธิที่กระทำได้โดยง่ายเกิดไปหรือปล่าว แนวคิดในการออกกฎหมายควบคุมหรือจำกัดสิทธิในการชุมนุมจึงเกิดขึ้น
ข้าพเจ้าจึงขอนำเสนอข่าวที่เสนอประเด็นในการออกกฎหมายจำกัดสิทธิการชุมนุม ดังนี้

ชงด่วน กฎหมายไล่ม๊อบ พ้นถนน จำกัดสิทธิชุมนุม
หลังจากที่พรรคพลังประชาชนและมวลชนที่ชื่นชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่พอใจกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จัดชุมนุมปิดกั้นทางสาธารณะ และเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลมานาน ในที่สุด นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจเดินเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 63 เพื่อควบคุมการชุมนุมของม็อบโดยตรง
ทั้งนี้ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญนิติบัญญัติครั้งแรก ในวันที่ 6 สิงหาคมนี้ จะมีร่าง พ.ร.บ.ที่น่าสนใจเข้าสู่การพิจารณา คือ ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ ที่ นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร พรรคพลังประชาชน และคณะ โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีหลักการเพื่อให้การชุมนุมในที่สาธารณะเป็นไปตามสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ขณะเดียวกันก็เพื่อป้องกันการใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าว ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนเสียหายต่อสาธารณชนทั่วไป จึงต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ เพื่อจัดระเบียบการชุมนุมดังกล่าว

โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีจำนวน 20 มาตรา มีสาระสำคัญ คือ

มาตรา 2 กำหนดนิยามของ "ผู้จะจัดการชุมนุม"

มาตรา 4 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ แต่การชุมนุมในที่สาธารณะจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ

มาตรา 5 ห้ามมิให้ดำเนินการชุมนุมในที่สาธารณะ ที่มีลักษณะเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ได้แก่ มีการใช้ช่องทางการเดินรถหรือพื้นผิวการจราจร มีการตั้งเวทีปราศรัยในลักษณะกีดขวางการจราจรหรือทางสัญจรของประชาชน มีการใช้เครื่องขยายเสียง เครื่องฉายภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว หรือเครื่องมือใดๆ เพื่อถ่ายทอดการชุมนุม มีการใช้ยานพาหนะ มีการเคลื่อนย้ายสถานที่ชุมนุม

มาตรา 7 การยื่นขออนุญาตชุมนุมในที่สาธารณะ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

นอกจากนี้ยังระบุถึงการอนุญาตให้มีการชุมนุมได้ โดยกำหนดลงใน มาตรา 8 ว่า คณะกรรมการผู้พิจารณาคำขออนุญาตชุมนุมในที่สาธารณะทุกจังหวัด โดย (1) ในส่วน กทม. ประกอบด้วย ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเป็นประธานกรรมการ ส่วน (2) ในต่างจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน

มาตรา 9 คณะกรรมการมีอำนาจพิจารณาคำขอตามมาตรา 5 ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 10 การขออนุญาต จะมีผลเฉพาะในเขตจังหวัดนั้น หากมีการเคลื่อนย้ายการชุมนุมไปในเขตจังหวัดอื่น จะกระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจาก คณะกรรมการตามมาตรา 8 (2)

ขณะที่ มาตรา 11 ผลการพิจารณาของ คณะกรรมการตามมาตรา 8 ให้ถือเป็นที่สุด

ส่วนใน มาตรา 12-16 เป็นเรื่องของการฝ่าฝืนที่ห้ามให้มีการชุมนุม ซึ่งให้อำนาจจัดการผู้ที่ฝ่าฝืน คือประธานกรรมการตามมาตรา 8 สั่งยุติการชุมนุมได้ แต่หากยังมีการฝ่าฝืนคำสั่งให้ประธานกรรมการสั่งเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมได้ ซึ่งในมาตรา 16 ระบุว่า โดยเจ้าหน้าที่หรือผู้ใช้อำนาจการสลายการชุมนุมไม่ต้องรับผิดทางแพ่งและอาญา หากการกระทำนั้นเป็นการกระทำโดยสุจริตไม่เกินกว่าเหตุ หรือไม่เกินความจำเป็น แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหาย ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

ในส่วนของบทลงโทษนั้น ระบุใน มาตรา 17 ว่า การชุมนุมในที่สาธารณะที่ไม่ได้ขออนุญาตภายใต้ข้อบังคับมาตรา 5 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และวรรคสอง ผู้ใดจัดให้มีการชุมนุมตามวรรคหนึ่ง แล้วเกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือมีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ วรรคสาม ผู้ใดจัดให้มีการชุมนุมตามวรรคหนึ่งแล้วเกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือมีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ผู้ใดฝ่าฝืนจัดให้มีการชุมนุมในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ แม้การชุมนุมจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ วรรคสอง ผู้ใดจัดชุมนุมโดยฝ่าฝืนวรรคหนึ่ง แล้วเกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือมีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แม้จะได้ปฏิบัติตามมาตรา 13 แล้วก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ วรรคสาม ผู้ใดจัดให้มีการชุมนุมโดยฝ่าฝืนวรรคหนึ่ง แล้วเกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือมีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หากไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 13 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 19 การชุมนุมในที่สาธารณะภายใต้บังคับมาตรา 5 กรณีที่ขออนุญาตหรือไม่ขออนุญาตก็ตาม หากผู้จัดให้มีการชุมนุมไม่ควบคุมดูแล ปล่อยปละจนเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมทำผิดทางแพ่งหรืออาญา ผู้จัดให้มีการชุมนุมต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 20 นายกฯ เป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.นี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตาม พ.ร.บ.นี้


ด้าน นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตร กล่าวว่า เห็นได้ชัดเจนว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ขัดต่อมาตรา 63 โดยมีเป้าหมายเพื่อต้องการทำลายการชุมนุมแบบสงบและสันติ เพราะต่อไปการชุมนุมจะต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐก่อน ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะคงไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดอนุญาตให้ประชาชนชุมนุมอยู่แล้ว

นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า หากร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเมื่อใด รับรองว่ารัฐสภาไทยจะเป็นที่อับอายไปทั่วโลก เพราะไม่มีประเทศไหนในโลกห้ามการชุมนุมได้ หากประชาชนไม่เดือดร้อนคงไม่มาชุมนุม ดังนั้นการชุมนุมจึงเป็นดัชนีการชี้วัดการทำงานของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลทำงานดีการชุมนุมก็จะมีน้อย แต่ถ้ารัฐบาลทำงานล้มเหลวการชุมนุมก็จะมีมาก

"รัฐบาลชุดนี้มองว่าการชุมนุมเป็นภัยต่อรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด ดังนั้น ขอย้ำอีกว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้เข้าสภาเมื่อใดจะเป็นที่อับอายไปทั่วโลก ที่ ส.ส. ไทยเสนอกฎหมายล้าหลังแบบนี้ มากไปกว่านั้นผมคิดว่า การเสนอกฎหมายนี้เพื่อสกัดกั้นการชุมนุมของพันธมิตร ที่พรรคพลังประชาชนทำมาทุกวิถีทาง โดยครั้งนี้จะกลไกในสภาใช้เสียงข้างมากลากไป เพื่อหวังการสลายการชุมนุมของพันธมิตร" นายสุริยะใสกล่าว

ขณะที่ นายสมัคร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการแก้ไขกฎหมาย มาตรา 63 ว่า "นี่คือรัฐธรรมนูญ มาตราที่พันธมิตรกลัว" พร้อมกล่าวถึงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธโดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จเอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับและไม่จ้างวานกลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

อย่างไรก็ตามสำหรับรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 63 ระบุว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยตามอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศใช้กฎอัยการศึก"

วิเคราะห์ข่าว
จากข่าวที่ได้นำเสนอในเบื้องต้น ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่เนื้อหาของ" ร่างพรบ.จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ " ซึ่งกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่จะจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการชุมนุมแสดงออกทางความคิดเห็นหรือเรียกร้องในเรื่องต่าง ๆ ให้กระทำได้ยากขึ้น เช่น มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการผู้พิจารณาคำขออนุญาติจัดการชุมนุมในที่สาธารณะ ซึ่งการจะจัดการชุมนุมในที่สาธารณะในแต่ละครั้งต้องขออนุญาติจากคณะกรรมการดังกล่าว ซึ่งทำให้กฎหมายฉบับนี้มีข้อดีแลข้อเสียเกิดขึ้น ข้อดีของกฎหมายฉบับนี้คือ เป็นการจำกัดสิทธิการชุมนุมฯ ให้แคบลงส่งผลให้การชุมนุมประท้วงกระทำได้ยากขึ้น สอดคล้องกับแนวคิดในการส่งเสริมการธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ข้อด้อยของกฎหมายฉบับนี้ ไม่มีข้อกำหนดสำหรับการอนุญาติหรือไม่อนุญาติให้จัดการชุมนุมประท้วงของคณะกรรมการผู้พิจารณาคำขออนุญาติจัดการชุมนุมในที่สาธารณะที่ชัดเจน ฉะนั้นข้อเสนอแนะเกี่ยวกับพรบ.ให้มีความสมบูรณ์คือ ควรออกข้อกำหนดในการใช้พิจารณาอนุญาติ หรือไม่อนุญาติให้ดำเนินการจัดการชุมนุมของคณะกรรมการฯ ให้ชัดเจน ส่วนปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อการออกกฏหมายพรบ.ฉบับนี้คือ ในระบอบประชาธิปไตยนั้นสิทธิทางการชุมนุมในการแสดงความเห็นในเรื่องต่าง ๆ เป็นเรื่องที่สำคัญมากโดยในประเทศประชาธิปไตยจะให้สิทธิเสรีในการชุมนุมดังกล่าวอย่างเต็มที่ แต่กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิการชุมนุม ดังนั้น จึงอาจไม่เป็นที่ยอมรับของชาติประชาธิปไตยทำให้กฎหมายดังกล่าวไม่สามารถใช้บังคับได้
อย่างไรก็ตามแม้กฎหมายฉบับนี้จะยังไม่ออกมาบังคับใช้แต่ข้าพเจ้าก็มีความเห็นว่าการใช้กฎหมายจำกัดสิทธิการชุมนุม ยังดีกว่าการประกาศใช้พรบ.หรือพรก.ควบคุมการชุมนุมเพราะทันทีที่ประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวสายตาของชาวต่างชาติมักมองว่าเกิดเหตุการร้าย ๆ ขึ้นเนื่องจากกฎหมายหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษเด็ดขาด และจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นเท่านั้น ส่วนการออกเป็นกฎหมาย ก็คือการมีกฎหมายตั้งไว้ ให้ทุกคนปฏิบัติตามถ้าไม่ปฏิบัติก็มีโทษตามที่กำหนด สามารถใช้บังคับได้ตลอดไม่จำเป็นต้องเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นก่อน กฎหมายเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิในการชุมนุม จึงจำเป็นต่อสังคมไทย
ข้อดีของการใช้กฎหมายพรบ.จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ
มีกฎหมายที่จำกัดสิทธิการชุมนุมให้อยุ่ในความเรียบร้อย ซึ่งสามารถใช้ได้โดยที่ไม่ต้องประกาศพระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน อันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับประเทศและรัฐบาล
ข้อเสียของการใช้พรบ.จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ
กฎหมายมีลักษณะจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดของประชาชนซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะขัดแย้งกับหลักการในระบอบประชาธิปไตยที่ให้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดอย่างเต็มที่
โอกาส
กฎหมายควรร่างเเละเขียนให้สามารถปรับใช้ได้กับเหตุการณ์ในทุกสถานการณ์
ปัญหาและอุปสรรคในการประกาศใช้ร่างพรบ.ฉบับนี้
มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับความเป้นประชาธิปไตย เป็นต้นว่า ให้อำนาจการตัดสินใจคณะกรรมการผุ้อนุญาติให้มีการจัดการชุมนุม" โดยไม่มีบรรทัดฐานที่ชัดเจนใช้เป็นเครื่องชี้ว่าการชุมนุมใดควรอนุญาติ และการชุมนุมใดไม่ควรอนุญาติ ด้วยเหตุผลประการนี้จึงได้รับการต่อต้านในการประกาศใช้

เขียนโดย

นายวิรุจน์ วิชัยดิษฐ์ ห้องสังคมศึกษา 50 โปรแกรมวิชาสังคมศึกษา เลขที่ 29

1 ความคิดเห็น: